Skip to content
Our blog /
07 September 2025

ฉีดยากระตุ้นไข่ เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์อย่างได้ผล


07 September 2025

สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร แต่พบปัญหาในการตั้งครรภ์ แพทย์อาจแนะนำวิธีช่วยกระตุ้นการตกไข่เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ใช้กันบ่อยคือ การฉีดยากระตุ้นไข่ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างไข่ที่สมบูรณ์พร้อมต่อการปฏิสนธิ 

วิธีนี้แตกต่างจากการกินยากระตุ้นไข่ตก เพราะควบคุมได้แม่นยำกว่า โดยเฉพาะในโปรแกรมฉีดกระตุ้นไข่ที่ต้องทำอย่างเหมาะสม และติดตามผลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นไร้ความกังวล

ฉีดยากระตุ้นไข่ คืออะไร?

ฉีดยากระตุ้นไข่ คือ วิธีการรักษาที่ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ เช่น Follicle Stimulating Hormone (FSH) และ Luteinizing Hormone (LH) เพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างไข่หลายใบพร้อมกัน แทนที่จะตกไข่เพียงใบเดียวตามรอบธรรมชาติ จุดประสงค์คือเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ โดยเฉพาะในผู้ที่ประสบปัญหามีลูกยาก หรือเตรียมเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรือ ICSI

วิธีนี้แตกต่างจากการรับประทานยากระตุ้นไข่ตกตรงที่จะออกฤทธิ์โดยตรงต่อรังไข่ ทำให้ควบคุมการเจริญเติบโตของไข่ได้แม่นยำกว่า การรักษาจะเริ่มในช่วงวันที่ 2-3 ของรอบประจำเดือน และต้องติดตามผลด้วยอัลตราซาวนด์อย่างใกล้ชิด เมื่อไข่โตถึงขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะนัดฉีดยาฮอร์โมนอีกชนิดเพื่อกระตุ้นให้ไข่ตกก่อนเก็บ

การฉีดยาไข่ตกเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเด็กหลอดแก้ว เพราะช่วยให้ได้จำนวนไข่ที่มากและคุณภาพดี ลดความเสี่ยงที่ต้องเก็บไข่หลายครั้ง จึงเป็นวิธีที่แพทย์แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด

ฉีดยากระตุ้นไข่ VS กินยากระตุ้นไข่ เลือกแบบไหนดีกว่า

กินยากระตุ้นไข่ตก


การกระตุ้นไข่สามารถทำได้ 2 วิธี คือ การฉีดยากระตุ้นไข่ และการกินยากระตุ้นไข่ตก โดยทั้งสองวิธีมีจุดประสงค์เดียวกันคือช่วยให้ไข่เจริญเติบโต และตกไข่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ 

สำหรับการกินยา วิธีนี้มักจะเริ่มในช่วงต้นรอบประจำเดือน ใช้ติดต่อกันประมาณ 5 วัน และเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไข่ไม่ตกเป็นครั้งคราว หรือภาวะไข่ตกผิดปกติ ข้อดีของการกินยากระตุ้นไข่ตกคือใช้ง่าย สะดวก ราคาประหยัด แต่ข้อจำกัดคือในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา ทำให้ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น โดยเฉพาะผู้ที่เตรียมเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว

ส่วนการใช้ยาฉีดกระตุ้นไข่ จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมจำนวนและคุณภาพไข่อย่างแม่นยำ เช่น ผู้ที่ทำ ICSI หรือผู้ที่กินยากระตุ้นไข่แล้วไม่ได้ผล โดยยาฉีดมีส่วนประกอบของฮอร์โมน FSH และ LH ซึ่งทำงานโดยตรงกับรังไข่ ทำให้ไข่โตตามที่แพทย์ต้องการ ข้อดีของการฉีดยากระตุ้นไข่คือควบคุมได้ดีกว่า และเพิ่มโอกาสสำเร็จในการปฏิสนธิ แต่ต้องฉีดทุกวันและติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยอัลตราซาวนด์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome) ดังนั้นจะเลือกวิธีไหนควรพิจารณาจากสภาพร่างกาย งบประมาณ และคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีดยากระตุ้นไข่

ก่อนทำฉีดยากระตุ้นไข่ การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การกระตุ้นไข่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การปรึกษาแพทย์และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายพร้อมที่สุด โดยวิธีการเตรียมตัวก่อนฉีดกระตุ้นไข่ มีดังนี้

  • ตรวจสุขภาพ แพทย์จะตรวจสุขภาพทั่วไป อัลตราซาวนด์ และตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน เพื่อตัดสินใจเรื่องปริมาณและช่วงเวลาของการฉีดที่เหมาะสมกับร่างกายแต่ละคน
  • ดูแลอาหารและโภชนาการ ควรรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนคุณภาพสูง เช่น ปลา ไก่ ไข่ และถั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารรองรับการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่
  • พักผ่อนเพียงพอ การนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและฮอร์โมนทำงานสมดุล ซึ่งมีผลโดยตรงต่อคุณภาพไข่
  • ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน โยคะ หรือยืดเส้นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดโดยไม่กระทบต่อไข่ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการกระแทกอย่างแรง
  • ลดความเครียด การจัดการความเครียดและทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำสมาธิ ช่วยให้ฮอร์โมนเพศทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • รับประทานวิตามินและอาหารเสริม แพทย์อาจแนะนำวิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน C, E CoQ10 หรือ DHEA เพื่อสนับสนุนสุขภาพไข่

เกร็ดความรู้ : หากสนใจว่ากระตุ้นไข่ห้ามกินอะไร สามารถศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่อาจรบกวนการเจริญเติบโตของไข่

ขั้นตอนต่าง ๆ ของการฉีดยากระตุ้นไข่

ฉีดกระตุ้นไข่

 

การฉีดยากระตุ้นไข่ เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น IVF Ovulation Induction (OI) หรือการฝากไข่ เพื่อเพิ่มจำนวนและคุณภาพไข่ ซึ่งขั้นตอนการฉีดกระตุ้นไข่ มีรายละเอียดดังนี้

  1. เริ่มการฉีดในรอบเดือนแรก การฉีดจะเริ่มในวันที่ 1-3 ของรอบประจำเดือน แพทย์จะให้ฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) เพื่อกระตุ้นรังไข่ (Ovaries) ให้ไข่เจริญเติบโตหลายใบ ขั้นตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Ovulation Induction (OI) ผู้เข้ารับการรักษาสามารถฉีดเองที่บ้านด้วยวิธี Subcutaneous หรือให้แพทย์ฉีดให้ได้
  2. ติดตามการตอบสนอง หลังฉีดครั้งแรก 5-7 วัน แพทย์จะนัดทำอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจขนาดและจำนวนไข่ที่กำลังพัฒนา พร้อมตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) และ Estradiol เพื่อประเมินการตอบสนองของรังไข่
  3. ฉีดยาต่อตามแผน ผู้เข้ารับการรักษาอาจต้องฉีดต่อจากการนัดพบแพทย์ครั้งแรกเป็นเวลา 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของรังไข่ โดยแพทย์จะปรับขนาดยาตามผลอัลตราซาวนด์ และผลตรวจเลือด
  4. ฉีดยากระตุ้นไข่ตก (Trigger Shot / hCG) เมื่อไข่มีขนาดเหมาะสม แพทย์จะสั่งฉีด Trigger Shot เพื่อกระตุ้นให้ไข่ตก พร้อมสำหรับการเก็บไข่ โดยทั่วไปจะนัดเก็บไข่ประมาณ 36 ชั่วโมงหลังฉีด
  5. ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เข้าพบแพทย์ จะมีการทำอัลตราซาวนด์และตรวจเลือด เพื่อปรับการฉีด และติดตามพัฒนาการของไข่ให้เหมาะสมกับร่างกายผู้เข้ารับการรักษาแต่ละบุคคล

สนใจวิธีเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์โดยอาศัยการปฏิสนธิตามธรรมชาติ แพทย์อาจพิจารณาให้ยากินกระตุ้นไข่ หรือแนะนำการทำ IUI สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IUI คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง

ผลข้างเคียงหลังฉีดยากระตุ้นไข่ มีอะไรบ้าง

การฉีดยากระตุ้นไข่จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ แต่บางครั้งร่างกายก็อาจมีการตอบสนองที่ก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นมาได้ โดยการฉีดยากระตุ้นไข่ ผลข้างเคียงที่อาจจะขึ้น ได้แก่

  • อาการปวดท้องน้อย เกิดจากรังไข่ขยายตัว เนื่องจากการตอบสนองต่อฮอร์โมนที่ได้รับจากยากระตุ้นไข่
  • อาการบวมหรืออืดท้อง เนื่องจากฮอร์โมนที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการสะสมน้ำในเนื้อเยื่อ ทำให้รู้สึกแน่นท้อง
  • เต้านมคัด เป็นผลจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นในช่วงฉีดไข่
  • ปวดศีรษะและเวียนหัว บางรายอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน หรือความเครียดร่วมกับการฉีดยา
  • ความอ่อนเพลียและอารมณ์แปรปรวน ฮอร์โมนสูงอาจส่งผลต่อระบบประสาทและอารมณ์

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

สำหรับภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ภาวะ Ovarian Hyperstimulation Syndrome (OHSS) มักจะเกิดในผู้ที่มีไข่จำนวนมาก หรือร่างกายตอบสนองต่อยาแรงผิดปกติ อาจมีน้ำรั่วเข้าสู่ช่องท้องและปอด ทำให้ท้องอืด แน่น คลื่นไส้ อาเจียน ในบางกรณีจำเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพื่อเจาะน้ำออก และให้สารน้ำทางหลอดเลือด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฉีดยากระตุ้นไข่​

1. ต้องฉีดยากระตุ้นไข่กี่วัน?

ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของรังไข่ และแผนการรักษาของแพทย์ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน แต่ละคนอาจจะต่างกัน แพทย์จะนัดตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของไข่และปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับร่างกาย การฉีดกระตุ้นไข่ทุกวันตามคำแนะนำจึงสำคัญ เพื่อให้ได้จำนวนและคุณภาพไข่ที่ดีที่สุด

2. ฉีดยากระตุ้นไข่ ตรงไหน?

การฉีดยากระตุ้นไข่ มักจะฉีดเข้าชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) บริเวณพุงด้านซ้ายหรือขวา โดยแนะนำให้สลับข้างทุกวันและฉีดในเวลาใกล้เคียงเดิมทุกวัน หากมียาหลายชนิด ควรฉีดแต่ละตัวคนละข้าง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย

ฉีดยากระตุ้นไข่ เพิ่มโอกาสมีเจ้าตัวน้อย ปรึกษาวิธีการรักษากับ BeyondIVF

การฉีดยากระตุ้นไข่เป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้ในกระบวนการช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การฝากไข่, IVF หรือ ICSI โดยอาศัยฮอร์โมนกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเก็บไข่ที่มีคุณภาพและรองรับการรักษาในขั้นตอนต่อไป การทำความเข้าใจวิธีการฉีด ชนิดของยาที่ใช้ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษาเตรียมตัวได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น

BeyondIVF พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนกระตุ้นไข่ การตรวจติดตามพัฒนาการของไข่ ไปจนถึงแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้รับแนวทางการช่วยเจริญพันธุ์ได้อย่างราบรื่น และเหมาะสมในแต่ละบุคคล

Other success stories

Updates

กระตุ้นไข่ ห้ามกินอะไร? อาหารที่ควรเลี่ยงเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์

Read the story
Updates

ฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI) คืออะไร? เรื่องน่ารู้เพื่อเพิ่มโอกาสมีลูก

Read the story
Updates

มีลูกยาก คืออะไร? รักษาได้อย่างไร? หาคำตอบจากแพทย์ได้ที่นี่

Read the story
Updates

Wanting to have a child: How to conceive and prepare for an easier pregnancy

Read the story

The Biological Clock

This tool indicates:

  • Natural conception per month if you have no fertility issues
  • IVF success rate at the same age
  • When to seek help after months of unsuccessful attempts

If you are concerned at any stage – we recommend booking a doctor appointment or a free nurse consultation. The sooner you make a plan the better your chances in the long term.

When to seek advice early

  • If you have polycystic ovaries, endometriosis, or have been through a cancer diagnosis; we recommend you get in touch quickly so we can talk you through all your options and give you the greatest possible chance of success.
  • If you’re a single woman considering motherhood in the future; it’s best to approach us early and consider egg freezing as this can be an option for you while you have a higher ovarian reserve and healthier eggs.
Set your age and the months you’ve been trying to conceive
26
2
Your chance of having a baby per month for fertile couples
Your chance of having a baby per IVF cycle (if experiencing infertility)

Body Mass Index calculator

Being overweight or underweight can reduce fertility, so it is important to keep your body weight within the normal healthy range.

Body Mass Index (BMI) is an indication of your body weight and can be calculated by dividing weight by height. You should aim for a BMI of between 20 and 25, as this will optimise your chances of conception.

Woman’s BMI below 19

Even in these modern times, nature knows best. If a woman's BMI falls below 19, the body senses famine and ovulation is switched off to prevent the risk of having a baby with malnutrition. Excessive exercise can reduce body fat and increase muscle mass to a point where periods cease for the same reason. Risk of miscarriage is also increased in women with a low BMI.

Being underweight

If a woman's BMI falls below 19, the body senses famine and ovulation is switched off to prevent the risk of having a baby with malnutrition. Excessive exercise can reduce body fat and increase muscle mass to a point where periods cease for the same reason. Risk of miscarriage is also increased in women with a low BMI.

BMI’s greater than 30

This can reduce fertility by 50%. Pregnancy for women with a 30+ BMI is often associated with problems such as maternal diabetes, high blood pressure, big babies and increased risk of caesarean section.

Add your height and weight to calculate your BMI