สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร แต่พบปัญหาในการตั้งครรภ์ แพทย์อาจแนะนำวิธีช่วยกระตุ้นการตกไข่เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ใช้กันบ่อยคือ การฉีดยากระตุ้นไข่ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างไข่ที่สมบูรณ์พร้อมต่อการปฏิสนธิ
วิธีนี้แตกต่างจากการกินยากระตุ้นไข่ตก เพราะควบคุมได้แม่นยำกว่า โดยเฉพาะในโปรแกรมฉีดกระตุ้นไข่ที่ต้องทำอย่างเหมาะสม และติดตามผลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นไร้ความกังวล
ฉีดยากระตุ้นไข่ คืออะไร?
ฉีดยากระตุ้นไข่ คือ วิธีการรักษาที่ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ เช่น Follicle Stimulating Hormone (FSH) และ Luteinizing Hormone (LH) เพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างไข่หลายใบพร้อมกัน แทนที่จะตกไข่เพียงใบเดียวตามรอบธรรมชาติ จุดประสงค์คือเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ โดยเฉพาะในผู้ที่ประสบปัญหามีลูกยาก หรือเตรียมเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรือ ICSI
วิธีนี้แตกต่างจากการรับประทานยากระตุ้นไข่ตกตรงที่จะออกฤทธิ์โดยตรงต่อรังไข่ ทำให้ควบคุมการเจริญเติบโตของไข่ได้แม่นยำกว่า การรักษาจะเริ่มในช่วงวันที่ 2-3 ของรอบประจำเดือน และต้องติดตามผลด้วยอัลตราซาวนด์อย่างใกล้ชิด เมื่อไข่โตถึงขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะนัดฉีดยาฮอร์โมนอีกชนิดเพื่อกระตุ้นให้ไข่ตกก่อนเก็บ
การฉีดยาไข่ตกเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเด็กหลอดแก้ว เพราะช่วยให้ได้จำนวนไข่ที่มากและคุณภาพดี ลดความเสี่ยงที่ต้องเก็บไข่หลายครั้ง จึงเป็นวิธีที่แพทย์แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด
ฉีดยากระตุ้นไข่ VS กินยากระตุ้นไข่ เลือกแบบไหนดีกว่า
การกระตุ้นไข่สามารถทำได้ 2 วิธี คือ การฉีดยากระตุ้นไข่ และการกินยากระตุ้นไข่ตก โดยทั้งสองวิธีมีจุดประสงค์เดียวกันคือช่วยให้ไข่เจริญเติบโต และตกไข่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
สำหรับการกินยา วิธีนี้มักจะเริ่มในช่วงต้นรอบประจำเดือน ใช้ติดต่อกันประมาณ 5 วัน และเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไข่ไม่ตกเป็นครั้งคราว หรือภาวะไข่ตกผิดปกติ ข้อดีของการกินยากระตุ้นไข่ตกคือใช้ง่าย สะดวก ราคาประหยัด แต่ข้อจำกัดคือในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา ทำให้ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น โดยเฉพาะผู้ที่เตรียมเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว
ส่วนการใช้ยาฉีดกระตุ้นไข่ จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมจำนวนและคุณภาพไข่อย่างแม่นยำ เช่น ผู้ที่ทำ ICSI หรือผู้ที่กินยากระตุ้นไข่แล้วไม่ได้ผล โดยยาฉีดมีส่วนประกอบของฮอร์โมน FSH และ LH ซึ่งทำงานโดยตรงกับรังไข่ ทำให้ไข่โตตามที่แพทย์ต้องการ ข้อดีของการฉีดยากระตุ้นไข่คือควบคุมได้ดีกว่า และเพิ่มโอกาสสำเร็จในการปฏิสนธิ แต่ต้องฉีดทุกวันและติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยอัลตราซาวนด์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome) ดังนั้นจะเลือกวิธีไหนควรพิจารณาจากสภาพร่างกาย งบประมาณ และคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีดยากระตุ้นไข่
ก่อนทำฉีดยากระตุ้นไข่ การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การกระตุ้นไข่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การปรึกษาแพทย์และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายพร้อมที่สุด โดยวิธีการเตรียมตัวก่อนฉีดกระตุ้นไข่ มีดังนี้
- ตรวจสุขภาพ แพทย์จะตรวจสุขภาพทั่วไป อัลตราซาวนด์ และตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน เพื่อตัดสินใจเรื่องปริมาณและช่วงเวลาของการฉีดที่เหมาะสมกับร่างกายแต่ละคน
- ดูแลอาหารและโภชนาการ ควรรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนคุณภาพสูง เช่น ปลา ไก่ ไข่ และถั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารรองรับการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่
- พักผ่อนเพียงพอ การนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและฮอร์โมนทำงานสมดุล ซึ่งมีผลโดยตรงต่อคุณภาพไข่
- ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน โยคะ หรือยืดเส้นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดโดยไม่กระทบต่อไข่ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการกระแทกอย่างแรง
- ลดความเครียด การจัดการความเครียดและทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำสมาธิ ช่วยให้ฮอร์โมนเพศทำงานได้ดียิ่งขึ้น
- รับประทานวิตามินและอาหารเสริม แพทย์อาจแนะนำวิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน C, E CoQ10 หรือ DHEA เพื่อสนับสนุนสุขภาพไข่
เกร็ดความรู้ : หากสนใจว่ากระตุ้นไข่ห้ามกินอะไร สามารถศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่อาจรบกวนการเจริญเติบโตของไข่
ขั้นตอนต่าง ๆ ของการฉีดยากระตุ้นไข่
การฉีดยากระตุ้นไข่ เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น IVF Ovulation Induction (OI) หรือการฝากไข่ เพื่อเพิ่มจำนวนและคุณภาพไข่ ซึ่งขั้นตอนการฉีดกระตุ้นไข่ มีรายละเอียดดังนี้
- เริ่มการฉีดในรอบเดือนแรก การฉีดจะเริ่มในวันที่ 1-3 ของรอบประจำเดือน แพทย์จะให้ฮอร์โมน FSH (Follicle Stimulating Hormone) เพื่อกระตุ้นรังไข่ (Ovaries) ให้ไข่เจริญเติบโตหลายใบ ขั้นตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Ovulation Induction (OI) ผู้เข้ารับการรักษาสามารถฉีดเองที่บ้านด้วยวิธี Subcutaneous หรือให้แพทย์ฉีดให้ได้
- ติดตามการตอบสนอง หลังฉีดครั้งแรก 5-7 วัน แพทย์จะนัดทำอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจขนาดและจำนวนไข่ที่กำลังพัฒนา พร้อมตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) และ Estradiol เพื่อประเมินการตอบสนองของรังไข่
- ฉีดยาต่อตามแผน ผู้เข้ารับการรักษาอาจต้องฉีดต่อจากการนัดพบแพทย์ครั้งแรกเป็นเวลา 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของรังไข่ โดยแพทย์จะปรับขนาดยาตามผลอัลตราซาวนด์ และผลตรวจเลือด
- ฉีดยากระตุ้นไข่ตก (Trigger Shot / hCG) เมื่อไข่มีขนาดเหมาะสม แพทย์จะสั่งฉีด Trigger Shot เพื่อกระตุ้นให้ไข่ตก พร้อมสำหรับการเก็บไข่ โดยทั่วไปจะนัดเก็บไข่ประมาณ 36 ชั่วโมงหลังฉีด
- ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เข้าพบแพทย์ จะมีการทำอัลตราซาวนด์และตรวจเลือด เพื่อปรับการฉีด และติดตามพัฒนาการของไข่ให้เหมาะสมกับร่างกายผู้เข้ารับการรักษาแต่ละบุคคล
สนใจวิธีเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์โดยอาศัยการปฏิสนธิตามธรรมชาติ แพทย์อาจพิจารณาให้ยากินกระตุ้นไข่ หรือแนะนำการทำ IUI สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IUI คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง
ผลข้างเคียงหลังฉีดยากระตุ้นไข่ มีอะไรบ้าง
การฉีดยากระตุ้นไข่จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ แต่บางครั้งร่างกายก็อาจมีการตอบสนองที่ก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นมาได้ โดยการฉีดยากระตุ้นไข่ ผลข้างเคียงที่อาจจะขึ้น ได้แก่
- อาการปวดท้องน้อย เกิดจากรังไข่ขยายตัว เนื่องจากการตอบสนองต่อฮอร์โมนที่ได้รับจากยากระตุ้นไข่
- อาการบวมหรืออืดท้อง เนื่องจากฮอร์โมนที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการสะสมน้ำในเนื้อเยื่อ ทำให้รู้สึกแน่นท้อง
- เต้านมคัด เป็นผลจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นในช่วงฉีดไข่
- ปวดศีรษะและเวียนหัว บางรายอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน หรือความเครียดร่วมกับการฉีดยา
- ความอ่อนเพลียและอารมณ์แปรปรวน ฮอร์โมนสูงอาจส่งผลต่อระบบประสาทและอารมณ์
ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
สำหรับภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ภาวะ Ovarian Hyperstimulation Syndrome (OHSS) มักจะเกิดในผู้ที่มีไข่จำนวนมาก หรือร่างกายตอบสนองต่อยาแรงผิดปกติ อาจมีน้ำรั่วเข้าสู่ช่องท้องและปอด ทำให้ท้องอืด แน่น คลื่นไส้ อาเจียน ในบางกรณีจำเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพื่อเจาะน้ำออก และให้สารน้ำทางหลอดเลือด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฉีดยากระตุ้นไข่
1. ต้องฉีดยากระตุ้นไข่กี่วัน?
ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของรังไข่ และแผนการรักษาของแพทย์ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน แต่ละคนอาจจะต่างกัน แพทย์จะนัดตรวจอัลตราซาวนด์และตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของไข่และปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับร่างกาย การฉีดกระตุ้นไข่ทุกวันตามคำแนะนำจึงสำคัญ เพื่อให้ได้จำนวนและคุณภาพไข่ที่ดีที่สุด
2. ฉีดยากระตุ้นไข่ ตรงไหน?
การฉีดยากระตุ้นไข่ มักจะฉีดเข้าชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) บริเวณพุงด้านซ้ายหรือขวา โดยแนะนำให้สลับข้างทุกวันและฉีดในเวลาใกล้เคียงเดิมทุกวัน หากมียาหลายชนิด ควรฉีดแต่ละตัวคนละข้าง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย
ฉีดยากระตุ้นไข่ เพิ่มโอกาสมีเจ้าตัวน้อย ปรึกษาวิธีการรักษากับ BeyondIVF
การฉีดยากระตุ้นไข่เป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้ในกระบวนการช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การฝากไข่, IVF หรือ ICSI โดยอาศัยฮอร์โมนกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเก็บไข่ที่มีคุณภาพและรองรับการรักษาในขั้นตอนต่อไป การทำความเข้าใจวิธีการฉีด ชนิดของยาที่ใช้ รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษาเตรียมตัวได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น
BeyondIVF พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนกระตุ้นไข่ การตรวจติดตามพัฒนาการของไข่ ไปจนถึงแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้รับแนวทางการช่วยเจริญพันธุ์ได้อย่างราบรื่น และเหมาะสมในแต่ละบุคคล