Skip to content

ICSI เทคโนโลยีเด็กหลอดแก้ว เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ และเหมาะกับใครบ้าง


21 June 2025
Updates

เมื่อความฝันที่จะมีลูกน้อยนั้นยากกว่าที่คิด ใช้ความพยายามแล้วพยามยามอีกแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จึงทำให้ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) กลายเป็นความหวังใหม่สำหรับคู่รักที่มีปัญหามีลูกยากมานาน ICSI หรือ อิ๊กซี่ คือเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะเชื้ออสุจิอ่อนแรงหรือมีจำนวนน้อย 

ว่าแต่หลาย ๆ คุณที่ยังไม่รู้ว่า ICSI คืออะไรกันแน่ และทำไมวิธีนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย มาทำความรู้จักกับ ICSI อย่างละเอียด ลงลึกถึงขั้นตอนหัตถาการและใครบ้างที่เหมาะกับการทำ ICSI เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนในการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาภาวะมีบุตรยากที่เหมาะสมที่สุด

ICSI คืออะไร ทางออกรักษาผู้มีบุตรยาก

ICSI คือ เทคนิคพิเศษในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งย่อมาจาก Intracytoplasmic Sperm Injection เป็นการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง โดยอิกซี่คือนวัตกรรมที่พัฒนาต่อยอดจากกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบเดิม แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำสูงกว่า เนื่องจากเป็นการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเพียงตัวเดียว แล้วใช้เครื่องมือพิเศษที่มีความละเอียดสูงฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง แทนที่จะปล่อยให้อสุจิและไข่ผสมกันเองในจานเพาะเลี้ยง

การทำ ICSI นี้ช่วยเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิได้มากกว่า 15% เมื่อเทียบกับวิธีการทำ IVF ทำให้การรักษาภาวะมีบุตรยากนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาอสุจิน้อย อสุจิไม่แข็งแรง หรือมีความผิดปกติของอสุจิ หลังจากอสุจิและไข่ผสมกันแล้วจะถูกนำไปเลี้ยงในห้องปฏิบัติการด้วยน้ำยาพิเศษจนกลายเป็นตัวอ่อนระยะ Blastocyst ก่อนที่จะย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อให้เติบโตต่อไปจนกลายเป็นทารกที่สมบูรณ์

ข้อดีของ ICSI ที่ทำไมต้องตัดสินใจทำ

ทำ-icsi

 

การเลือกแนวทางรักษาด้วย ICSI นอกจากจะเป็นความหวังของผู้ที่มีปัญหาการมีบุตรแล้ว ยังมีข้อดีหลายประการที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้น ข้อดีการทำอิ๊กซี่ คือการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการแพทย์ที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก โดยข้อดีของการทำ ICSI ดังนี้

  • การทำ ICSI ช่วยเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิได้มากกว่าวิธีเด็กหลอดแก้วแบบดั้งเดิม เนื่องจากเลือกใช้อสุจิที่แข็งแรงที่สุดและฉีดเข้าเซลล์ไข่โดยตรง
  • ลดความเสี่ยงจากโรคทางพันธุกรรมเมื่อนำมาร่วมกับการตรวจคัดกรองตัวอ่อนก่อนย้ายกลับมดลูก
  • เหมาะสำหรับคู่สมรสที่ฝ่ายชายมีปัญหาอสุจิน้อย อสุจิไม่แข็งแรง หรือมีความผิดปกติของอสุจิ
  • ช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จของผู้หญิงที่มีอายุมากหรือมีจำนวนไข่น้อย
  • เป็นทางเลือกสำหรับคู่สมรสที่เคยทำหมัน โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแก้หมัน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงและไม่ได้ผลเสมอไป
  • การทำอิ๊กซี่ คือทางเลือกความสำคัญที่เปิดโอกาสให้คู่รักที่มีลูกยากสามารถมีบุตรได้ในเวลาที่เหมาะสมตามแผนชีวิตของตนเอง

ICSI เหมาะกับใครบ้าง

หากคุณหรือคู่สมรสกำลังเผชิญกับปัญหาในการมีบุตร และกำลังพิจารณาวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก การเลือกทำ ICSI อาจเป็นทางออกที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่การตั้งครรภ์ธรรมชาติเป็นไปได้ยาก สำหรับผู้ที่เหมาะกับการทำ ICSI มีดังนี้

  • ผู้ชายที่มีปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ เช่น อสุจิมีจำนวนน้อยมาก (น้อยกว่า 15 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร) อสุจิเคลื่อนไหวช้าหรือไม่เคลื่อนไหว หรืออสุจิมีรูปร่างผิดปกติ เป็นต้น
  • ผู้ชายที่มีภาวะไม่มีอสุจิในน้ำอสุจิ (Azoospermia) จำเป็นต้องเก็บอสุจิโดยตรงจากอัณฑะหรือท่อเก็บอสุจิ
  • คู่สมรสที่เคยทำการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ หรือมีอัตราการปฏิสนธิต่ำ
  • ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี ซึ่งคุณภาพไข่อาจลดลงตามอายุ ทำให้การปฏิสนธิแบบธรรมชาติเกิดขึ้นได้ยาก
  • ผู้หญิงที่มีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพไข่
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงด้านพันธุกรรมและต้องการทำเก็บไข่ ICSI ร่วมกับการตรวจคัดกรองพันธุกรรมตัวอ่อน (PGT)
  • คู่สมรสที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนเป็นเวลานานกว่า 1 ปี
  • ผู้ที่ต้องการใช้อสุจิ หรือไข่ที่แช่แข็งไว้ เนื่องจากการทำ ICSI ช่วยเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ที่ผ่านการแช่แข็ง
  • ผู้ชายที่ผ่านการทำหมันมาแล้วและไม่ต้องการผ่าตัดแก้หมัน สามารถเลือกเก็บอสุจิจากอัณฑะได้โดยตรง
  • ผู้หญิงที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของไข่และการตกไข่

เปรียบเทียบ ICSI แตกต่างจาก IVF อย่างไร?

อิ๊กซี่

 

หลายคนอาจสงสัยว่าการทำ ICSI แตกต่างจาก IVF อย่างไร ทั้งที่ทั้งสองวิธีดูคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วมีความแตกต่างกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเข้ารับการกระตุ้นไข่หรือเตรียมตัวสำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก

  • IVF (In Vitro Fertilization)

การทำเด็กหลอดแก้ว จะเริ่มจากการใช้ยากระตุ้นไข่ตก เพื่อให้ร่างกายผลิตไข่หลายใบ จากนั้นแพทย์จะคัดเลือกไข่ที่สมบูรณ์และนำมาผสมกับอสุจิในห้องปฏิบัติการ โดยปล่อยให้อสุจิผสมกับไข่เองตามธรรมชาติในจานเพาะเลี้ยง หากเกิดการปฏิสนธิและได้ตัวอ่อน ก็จะนำกลับเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์

  • ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection)

ICSI คือขั้นตอนที่ต่อยอดจากการทำ IVF โดยใช้เทคนิคพิเศษในการคัดอสุจิที่แข็งแรงเพียงตัวเดียว แล้วใช้เข็มขนาดเล็กฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปฏิสนธิ ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับคู่สมรสที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพของอสุจิ หรือกรณีที่เคยทำ IVF แล้วไม่สำเร็จ

อิ๊กซี่จึงเป็นเทคโนโลยีที่เน้นความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงในการผสมไม่ติด และเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้มากกว่าวิธีแบบเดิมอย่างเห็นได้ชัด

การเตรียมตัวก่อนเริ่มทำ ICSI ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนการทำ ICSI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จสำหรับคู่สมรสที่อยากมีลูก ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีวิธีการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน โดยรายละเอียดการเตรียมตัวก่อนการทำ ICSI มีดังนี้

การเตรียมตัวสำหรับผู้หญิง

  1. ตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 2-3 ของรอบประจำเดือน เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
  2. ตรวจระดับฮอร์โมน เช่น FSH, LH, AMH และ Estradiol เพื่อประเมินปริมาณและคุณภาพของไข่
  3. ตรวจอัลตราซาวนด์โพรงมดลูกและรังไข่ เพื่อประเมินความพร้อมของอวัยวะสืบพันธุ์และตรวจหาความผิดปกติที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างไข่ที่มีคุณภาพ
  5. เริ่มรับประทานวิตามินเสริมสำหรับสตรีตั้งครรภ์หรือกรดโฟลิก อย่างน้อย 3 เดือนก่อนเริ่มทำ ICSI
  6. งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3 เดือนก่อนเริ่มการรักษา
  7. หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
  8. บริหารคลายความเครียด ด้วยการทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเบา ๆ

การเตรียมตัวสำหรับผู้ชาย

  1. งดการหลั่งอสุจิประมาณ 3-5 วันก่อนวันเก็บน้ำอสุจิ (ไม่ควรเกิน 7 วัน เพราะอาจทำให้คุณภาพอสุจิลดลง)
  2. งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3 เดือนก่อนการรักษา เนื่องจากส่งผลเสียต่อคุณภาพอสุจิ
  3. รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงหรืออาหารบำรุงอสุจิ เช่น ผักและผลไม้สด ถั่ว และปลาทะเลน้ำลึก
  4. รับประทานวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างอสุจิ เช่น วิตามินซี วิตามินอี สังกะสี และซีลีเนียม
  5. หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงชั้นในที่รัดแน่นและการอยู่ในที่อุณหภูมิสูง เช่น ซาวน่า อ่างน้ำร้อน
  6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่หักโหมจนเกินไป เพื่อช่วยในการไหลเวียนเลือดและลดความเครียด

ขั้นตอนการทำ ICSI มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนการทำอิ๊กซี่

 

ขั้นตอนการทำ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) หรือการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรงนั้น ประกอบด้วยกระบวนการหลัก 6 ขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนล้วนมีความสำคัญและต้องดำเนินการอย่างละเอียด เพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิและการตั้งครรภ์

ขั้นตอนที่ 1 ปรึกษาแพทย์

ก่อนเริ่มทำ ICSI คู่สมรสควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการรักษา ควรนำประวัติการรักษาและผลตรวจต่าง ๆ ที่เคยได้รับมาด้วย เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละคน

ขั้นตอนที่ 2 กระตุ้นการตกไข่

เริ่มฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่ในวันที่ 2 ของรอบเดือน ขนาดยาจะถูกปรับให้เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 8-12 วัน แพทย์จะติดตามการเจริญของไข่ด้วยการอัลตราซาวนด์และตรวจระดับฮอร์โมนเป็นระยะ

ขั้นตอนที่ 3 เก็บไข่และอสุจิ

เมื่อไข่เจริญถึงขนาดที่เหมาะสม (18-22 มม.) แพทย์จะฉีดยากระตุ้นให้ไข่สุก หลังจากนั้นจะทำการเก็บไข่โดยใช้เข็มผ่านทางช่องคลอดภายใต้การวางยาสลบหรือยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ส่วนฝ่ายชายจะต้องเก็บน้ำอสุจิในวันเดียวกัน

ขั้นตอนที่ 4 การทำ ICSI และเลี้ยงตัวอ่อน

นักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดจากน้ำอสุจิ จากนั้นจะใช้เทคนิค ICSI ซึ่งเป็นการใช้เข็มขนาดเล็กดูดอสุจิตัวเดียวและฉีดเข้าไปในไข่แต่ละใบโดยตรง หลังจากการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการจนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นระยะ Blastocyst (5-6 วัน)

ขั้นตอนที่ 5 ย้ายตัวอ่อน

เมื่อได้ตัวอ่อนคุณภาพดี แพทย์จะรายงานจำนวนและคุณภาพของตัวอ่อน และปรึกษากับคู่สมรสว่าควรใส่ตัวอ่อนกี่ตัว ก่อนย้ายตัวอ่อน ฝ่ายหญิงจะได้รับยาเพื่อเตรียมโพรงมดลูกให้พร้อมรับการฝังตัว ซึ่งการย้ายตัวอ่อนทำผ่านทางช่องคลอดโดยไม่ต้องวางยาสลบ

ขั้นตอนที่ 6 ติดตามผล

หลังย้ายตัวอ่อน แพทย์จะติดตามระดับฮอร์โมนทุก 2-3 วัน หากพบความผิดปกติ อาจมีการปรับยาเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ ส่วนผลการตั้งครรภ์สามารถตรวจได้หลังจากย้ายตัวอ่อนประมาณ 14 วัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ICSI 

การทำ ICSI ใช้เวลานานเท่าไร?

โดยทั่วไปการทำ ICSI ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2–3 สัปดาห์ ตั้งแต่การตรวจร่างกาย การใช้ยากระตุ้นไข่ เก็บไข่ ผสมไข่กับอสุจิ ไปจนถึงการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งนับเป็นขั้นตอนการทำ ICSI ที่ต้องอาศัยความแม่นยำและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์

ICSI มีโอกาสสำเร็จแค่ไหน?

โอกาสประสบความสำเร็จของการทำ ICSI อยู่ที่ประมาณ 50–80% ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล เช่น อายุของฝ่ายหญิง คุณภาพของไข่และอสุจิ แม้จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรรู้การทำอิ๊กซี่ข้อเสีย รวมถึงความเครียดทางอารมณ์หรือความซับซ้อนของกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่าย

ทำ ICSI ที่ไหนดี?

สำหรับใครที่กำลังมองหาว่าควรทำ ICSI ที่ไหนดี คำแนะนำควรเลือกสถานพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านการเจริญพันธุ์โดยตรงและมีห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เช่น ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก BeyondIVF ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการทำ ICSI และพร้อมดูแลอย่างครอบคลุมทั้งด้านการแพทย์ เทคโนโลยี รวมถึงให้คำปรึกษาด้านสุขภาพภาวะผู้ที่มีบุตรยาก

ICSI วิธีการทำเด็กหลอดแก้วที่มีอัตราสำเร็จสูง แก้ปัญหามีบุตรยาก 

การรักษาด้วยเทคนิค ICSI เป็นเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์เพื่อรักษาผู้มีบุตรยากที่พัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยี IVF เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิสนธิและเพิ่มโอกาสสำเร็จมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัจจัยด้านตัวอสุจิ จากข้อมูลทางคลินิกพบว่าวิธีนี้สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 60-70% ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเหมาะสม

สำหรับใครที่กำลังสนใจทำ ICSI ที่ไหนดี BeyondIVF เรามีแนวทางการประเมินภาวะมีบุตรยากอย่างเป็นระบบและครอบคลุม โดยแพทย์ผู้มีองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์และการรักษามีบุตรยาก แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยเชิงลึก ประกอบด้วยการวิเคราะห์ประวัติสุขภาพ การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการประเมินปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อวางแผนการรักษาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละคู่สมรส

สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนมีบุตรเพิ่มเติมได้ที่

Other success stories

Updates

Wanting to have a child: How to conceive and prepare for an easier pregnancy

Read the story
Updates

เด็กหลอดแก้ว IVF วิธีรักษาภาวะมีบุตรยาก เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จ

Read the story
Updates

What is ICSI treatment? Procedure, Risks, and Success Rates

Read the story
Updates

IUI (Intrauterine Insemination) – Procedures, Success Rates, and Costs

Read the story

The Biological Clock

This tool indicates:

  • Natural conception per month if you have no fertility issues
  • IVF success rate at the same age
  • When to seek help after months of unsuccessful attempts

If you are concerned at any stage – we recommend booking a doctor appointment or a free nurse consultation. The sooner you make a plan the better your chances in the long term.

When to seek advice early

  • If you have polycystic ovaries, endometriosis, or have been through a cancer diagnosis; we recommend you get in touch quickly so we can talk you through all your options and give you the greatest possible chance of success.
  • If you’re a single woman considering motherhood in the future; it’s best to approach us early and consider egg freezing as this can be an option for you while you have a higher ovarian reserve and healthier eggs.
Set your age and the months you’ve been trying to conceive
26
2
Your chance of having a baby per month for fertile couples
Your chance of having a baby per IVF cycle (if experiencing infertility)

Body Mass Index calculator

Being overweight or underweight can reduce fertility, so it is important to keep your body weight within the normal healthy range.

Body Mass Index (BMI) is an indication of your body weight and can be calculated by dividing weight by height. You should aim for a BMI of between 20 and 25, as this will optimise your chances of conception.

Woman’s BMI below 19

Even in these modern times, nature knows best. If a woman's BMI falls below 19, the body senses famine and ovulation is switched off to prevent the risk of having a baby with malnutrition. Excessive exercise can reduce body fat and increase muscle mass to a point where periods cease for the same reason. Risk of miscarriage is also increased in women with a low BMI.

Being underweight

If a woman's BMI falls below 19, the body senses famine and ovulation is switched off to prevent the risk of having a baby with malnutrition. Excessive exercise can reduce body fat and increase muscle mass to a point where periods cease for the same reason. Risk of miscarriage is also increased in women with a low BMI.

BMI’s greater than 30

This can reduce fertility by 50%. Pregnancy for women with a 30+ BMI is often associated with problems such as maternal diabetes, high blood pressure, big babies and increased risk of caesarean section.

Add your height and weight to calculate your BMI