Skip to content

Egg freezing

Want to have a family of your own, but maybe not just yet? Egg freezing may be the answer for you.

Helpful tools
ฝากไข่


การตั้งครรภ์บุตรอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่หลายคนแต่งงานช้าลงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์ การฝากไข่ (Egg Freezing หรือ Oocyte Cryopreservation) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนตั้งครรภ์ในอนาคต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสุขภาพหรือความพร้อมในชีวิต 

ในปัจจุบัน วิธีฝากไข่มีการพัฒนาให้ปลอดภัยและสามารถเก็บรักษาเซลล์ไข่ไว้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เราจึงจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝากไข่ ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัวฝากไข่จนถึงการดูแลหลังการเก็บไข่ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ในการวางแผนมีบุตรในอนาคต

ฝากไข่ คือ เทคโนโลยีในการแช่แข็งเซลล์ไข่

การฝากไข่ (Egg Freezing หรือ Oocyte Cryopreservation) คือ เทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีในการแช่แข็งเซลล์ไข่ (Oocyte) เพื่อเก็บรักษาไว้ใช้ในอนาคต โดยเซลล์ไข่ที่สุกและแข็งแรงจะถูกดูดออกมาจากรังไข่ภายหลังการกระตุ้นไข่ (Ovarian Stimulation) ด้วยฮอร์โมน จากนั้นจะนำเอาไปแช่แข็งในอุณหภูมิประมาณ -196°C ด้วยวิธี Vitrification ซึ่งเป็นเทคนิคที่ลดความเสียหายของเซลล์จากผลึกน้ำแข็ง 

ขั้นตอนฝากไข่จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถเก็บเซลล์ไข่ของตนไว้ใช้ในช่วงเวลาที่พร้อมต่อการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ยังไม่พร้อมมีบุตร หรืออยู่ระหว่างการวางแผนชีวิตในระยะยาว การฝากไข่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเตรียมตั้งครรภ์ในอนาคต และมีบทบาทสำคัญในกลุ่มผู้ที่กำลังเผชิญภาวะเจริญพันธุ์เสื่อมลง

ทำไมผู้หญิงถึงควรฝากไข่?

ทำไมควรฝากไข่


หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าอายุมีผลต่อคุณภาพของไข่มากกว่าที่คิด ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นโอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติก็ยิ่งลดน้อยลง การวางแผนไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น การฝากไข่จะช่วยให้สามารถเก็บเซลล์ไข่ไว้ในช่วงที่ยังแข็งแรงและสมบูรณ์ก่อนที่รังไข่จะเริ่มเสื่อมตามวัย โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปที่ต้องการมีลูกในอนาคตหรือยังไม่พร้อมมีบุตรในช่วงเวลานี้ เหมาะกับทั้งคนที่ต้องการวางแผนชีวิตระยะยาว หรือผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ดังนั้น ฝากไข่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเก็บไข่ แต่เป็นการเก็บโอกาสไว้ให้ตัวเองในวันที่พร้อมที่สุด

(New) Header Tag 2 : การเตรียมตัวก่อนฝากไข่

ก่อนเข้าสู่วิธีการฝากไข่ ผู้หญิงควรเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม เพื่อให้สามารถเก็บไข่ที่มีคุณภาพดีที่สุดออกมาได้ การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมในช่วงนี้มีผลต่อผลลัพธ์ในระยะยาว โดยวิธีเตรียมตัวก่อนฝากไข่มีดังนี้

  • ปรับพฤติกรรมการกิน

เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อปลา ถั่วเมล็ดแห้ง ลดน้ำตาล แป้งขัดขาว และอาหารแปรรูป เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและสนับสนุนการทำงานของรังไข่ (Ovarian Function)

  • บำรุงด้วยวิตามินที่จำเป็น

ทานอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงเซลล์ไข่ เช่น Coenzyme Q10, Astaxanthin, Methyl Folate, Vitamin D และ Inositol โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายแต่ละบุคคล

  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด

การนอนหลับที่มีคุณภาพส่งผลต่อการทำงานของระบบสืบพันธุ์อย่างมาก และช่วยลดความแปรปรวนของฮอร์โมน อีกทั้งความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลให้การตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ลดลง

  • ออกไปสูดอากาศและรับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า

การรับแสงแดดธรรมชาติในช่วงเช้าประมาณ 20–30 นาที ช่วยกระตุ้นการผลิตวิตามินดี (Vitamin D) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมคุณภาพเซลล์ไข่ และช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย นอกจากนี้ การออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ยังช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ส่งผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกายโดยรวม

  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

เนื่องจากสารที่มีอยู่ในบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของไข่และลดโอกาสการฝังตัวของตัวอ่อน

  • ตรวจร่างกายก่อนเริ่มฝากไข่

เข้าพบแพทย์เพื่อประเมินระดับฮอร์โมน เช่น AMH (Anti-Mullerian Hormone), FSH (Follicle-Stimulating Hormone) และตรวจภายในอื่น ๆ ที่จำเป็น รวมถึงคู่สมรสอาจต้องเข้ารับการตรวจอสุจิ (Semen Analysis) หากมีแผนทำเด็กหลอดแก้วในอนาคต

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฝากไข่

แพทย์จะให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน รวมถึงประเมินเวลาที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน เพื่อให้การเริ่มต้นของการฝากไข่เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

ขั้นตอนการฝากไข่มีอะไรบ้าง?

ขั้นตอนฝากไข่

 

วิธีการฝากไข่มีขั้นตอนที่ต้องทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถเก็บไข่ที่มีคุณภาพดีที่สุดออกมาได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการปฏิสนธิในอนาคต โดยขั้นตอนการฝากไข่มีขั้นตอนหลัก ๆ อยู่ด้วยกัน 5 วิธี ดังนี้

 

1. ตรวจร่างกายและประเมินฮอร์โมน


เมื่อประจำเดือนมาวันที่ 2-3 แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและเจาะเลือดเพื่อประเมินค่าฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง เช่น AMH (Anti-Mullerian Hormone) รวมถึงตรวจโรคติดเชื้อพื้นฐาน นอกจากนี้ยังมีการตรวจอัลตราซาวนด์ภายใน (Transvaginal Ultrasound) เพื่อประเมินจำนวนฟอลลิเคิลในรังไข่ ทั้งหมดนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มขั้นตอนการเก็บไข่

 

2. กระตุ้นรังไข่ด้วยฮอร์โมน


เมื่อตรวจร่างกายและประเมินฮอร์โมนเป็นที่เรียบร้อย แพทย์จะเริ่มฉีดยากระตุ้นรังไข่ (Ovarian Stimulation) ด้วยยาเช่น Gonal-F, Follitropin alfa หรือ Menopur ซึ่งจะช่วยให้ไข่เติบโตหลายใบในรอบเดือนเดียว พร้อมกับฉีดยาป้องกันไข่ตกก่อนเวลา เช่น Cetrotide หรือ Orgalutran ระยะเวลากระตุ้นไข่อยู่ที่ประมาณ 8-10 วัน โดยจะมีการติดตามขนาดไข่ผ่านอัลตราซาวนด์เป็นระยะ

 

3. ติดตามขนาดไข่และฉีดยาให้ไข่ตก


เมื่อฟอลลิเคิล (follicle) มีขนาดถึงเกณฑ์ แพทย์จะฉีดยาเพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกเต็มที่ เช่น Ovidrel หรือ hCG จากนั้นจะนัดวัน ขั้นตอนการเก็บไข่ ซึ่งต้องดำเนินการภายใน 34-36 ชั่วโมงหลังฉีดยา เพื่อให้ได้ไข่ที่พร้อมที่สุดสำหรับนำไปแช่แข็งหรือทำ IVF ในอนาคต

 

4. เข้าสู่ขั้นตอนการเก็บไข่


ในวันเก็บไข่ ผู้เข้ารับการฝากไข่จะได้รับยาระงับความรู้สึก จากนั้นแพทย์จะใช้เข็มดูดไข่ออกจากฟอลลิเคิลผ่านทางช่องคลอด โดยอาศัยการนำทางด้วยอัลตราซาวนด์ การเก็บไข่ (Egg Retrieval) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และควรพักฟื้นอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงหลังทำหัตถการ ทั้งนี้ แนะนำให้งดน้ำงดอาหารล่วงหน้า 8 ชั่วโมง และเตรียมตัวตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการเก็บไข่

 

5. แช่แข็งไข่และเก็บรักษา


ไข่ที่ได้จะถูกตรวจคุณภาพเบื้องต้น ก่อนนำไปแช่แข็งด้วยเทคนิค Vitrification ซึ่งเป็นวิธีแช่แข็งแบบรวดเร็วเพื่อลดการเกิดผลึกน้ำแข็งที่อาจทำลายเซลล์ ไข่จะถูกเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิประมาณ -196°C จนกว่าจะมีการนำมาใช้ในการปฏิสนธิ (Fertilization) เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) เมื่อเจ้าของไข่พร้อมวางแผนตั้งครรภ์ในอนาคต

วิธีดูแลตัวเองหลังฝากไข่

หลังจากผ่านขั้นตอนฝากไข่ ร่างกายอาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ซึ่งควรมีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไวและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีวิธีการดูแลตนเองเบื้องต้น ดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ หลังการเก็บไข่ควรหยุดพักอย่างน้อย 1–2 วัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวเต็มที่ หากมีอาการอ่อนเพลีย หรือปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย ควรนอนหลับให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ควรงดการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ยกเวต หรือกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูงเป็นเวลา 1 สัปดาห์หลัง ฝากไข่ เพื่อป้องกันภาวะรังไข่บิดตัว (Ovarian Torsion)
  • สังเกตอาการผิดปกติ ถ้าหากมีไข้ขึ้นสูง ปวดท้องรุนแรง มีเลือดออกมาก หรือมีตกขาวผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อ หรือภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome)
  • เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูงและย่อยง่าย เช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ รวมถึงผักและผลไม้สด งดอาหารหมักดอง ของมัน ของทอด และควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร เพื่อช่วยลดการบวมน้ำและฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังฝากไข่
  • งดเพศสัมพันธ์ในช่วงแรก ควรงดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วันหลังการเก็บไข่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการติดเชื้อหรือการบาดเจ็บภายในช่องท้อง

อยากฝากไข่ เริ่มยังไงดี?

เมื่อคุณพร้อมที่จะสร้างครอบครัวในอนาคต ไข่ที่แช่แข็งไว้จะถูกนำมาละลาย เพื่อเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งประกอบด้วยการปฏิสนธิโดยการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง (ICSI) การเพาะเลี้ยงตัวอ่อน การย้ายตัวอ่อนกลับสู่โพรงมดลูก และหากมีตัวอ่อนที่สมบูรณ์เหลืออยู่ ก็จะนำไปแช่แข็งเพื่อใช้ในครั้งต่อไป

ก่อนฝากไข่โปรดทราบว่าแม้ในกลุ่มอายุที่อายุน้อย (ต่ำกว่า 37 ปี) ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ไข่ทั้งหมดอาจรอดจากกระบวนการแช่แข็งและละลาย นอกจากนี้ ไข่ที่ละลายแล้วบางส่วนอาจไม่ฟักตัวหรือพัฒนาไปถึงระยะตัวอ่อน อีกทั้งตัวอ่อนที่ย้ายไปยังมดลูกอาจไม่ได้ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เสมอไป แต่คุณสามารถมั่นใจได้ว่า ทีมงานของเราพร้อมจะทุ่มเทความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด

ที่นี่เราจะพาคุณไปสำรวจตัวเลือกต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับคุณ…

เมื่อไรคือเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสู่ขั้นตอนการฝากไข่? เวลาที่เหมาะสมในการพยายามมีลูกขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของคุณ มันเป็นการตัดสินใจที่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง คุณอาจเป็นคนโสด มีคู่รัก หรืออยู่ในความสัมพันธ์แบบ LGBTQ+ หากคุณยังไม่พร้อมที่จะมีลูกในตอนนี้ การแช่แข็งไข่อาจเป็นตัวเลือกที่ช่วยรักษาภาวะเจริญพันธุ์ของคุณ

การเริ่มต้นไม่ยาก เพื่อเริ่มต้น เราขอแนะนำให้คุณนัดหมายกับแพทย์ด้านภาวะมีบุตรยาก ในการปรึกษาครั้งนี้ คุณจะได้รับการอธิบายถึงทางเลือกต่าง ๆ และจัดทำแผนเบื้องต้น และการประเมินภาวะเจริญพันธุ์ของคุณ 

หากคุณต้องการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อสำรวจตัวเลือกของคุณ สามารถนัดหมายกับพยาบาลที่มีประสบการณ์ด้านภาวะมีบุตรยากของเราได้

ระยะเวลาโดยทั่วไปสำหรับการแช่ฝากไข่

การแช่ฝากไข่


โดยทั่วไปการฝากไข่จะใช้เวลาประมาณ 12–14 วัน นับจากวันแรกของรอบเดือนจนถึงวันเก็บไข่ ขั้นตอนต่าง ๆ ถูกวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิดในแต่ละช่วงเวลา

  • วันที่ 1 ผู้เข้ารับการฝากไข่ ต้องติดต่อคลินิกทันทีเมื่อมีประจำเดือนวันแรก เพื่อแจ้งเริ่มวิธีการฝากไข่ ซึ่งพยาบาลจะให้คำแนะนำตามแผนที่แพทย์กำหนดไว้เฉพาะบุคคล
  • วันที่ 2 เริ่มฉีดยา FSH (Follicle-Stimulating Hormone) เพื่อกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่มากกว่าปกติในรอบเดือนนั้น
  • วันที่ 3–6 ดำเนินการฉีด FSH อย่างต่อเนื่องทุกวัน พร้อมเฝ้าติดตามอาการตามคำแนะนำของแพทย์
  • วันที่ 7 ยังคงฉีด FSH และเริ่มใช้ยายับยั้งการตกไข่ก่อนเวลา (Ovulation Blocker) เพื่อควบคุมไม่ให้ไข่ตกเองตามธรรมชาติ
  • วันที่ 8–9 ทำการตรวจเลือดและอัลตราซาวนด์ (Scan) เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของไข่ หากไข่มีขนาดและจำนวนที่เหมาะสมแล้ว จะได้รับยาฉีดกระตุ้นให้ไข่ตกในเวลาที่กำหนด
  • วันที่ 10–11 ตรวจติดตามอีกรอบ เพื่อประเมินความพร้อมก่อนวันเก็บไข่
  • วันที่ 12 หรือ 13 เข้าขั้นตอนการเก็บไข่ (Egg Retrieval) โดยแพทย์จะใช้เข็มดูดไข่ออกมาภายใต้การดมยาสลบเล็กน้อย ใช้เวลาเพียง 30 นาที และพักฟื้นหลังทำไม่นาน

คำถามทั่วไปเกี่ยวกับการฝากไข่

เวลาที่เหมาะสมคือเมื่อไหร่?


ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการวางแผนมีบุตรนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของแต่ละคน เพราะเป็นการตัดสินใจที่ต้องอาศัยทั้งความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นโสด แต่งงานแล้ว หรืออยู่ในความสัมพันธ์แบบ LGBTQI+ หากคุณยังไม่พร้อมจะมีลูกในตอนนี้ การเลือกฝากไข่อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยรักษาความสามารถในการมีบุตรไว้ในอนาคตได้

เพื่อให้คุณสามารถวางแผนได้อย่างมั่นใจ แนะนำให้เข้ารับบริการตรวจภาวะมีบุตรยากฟรี ที่โรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยประเมินภาวะเจริญพันธุ์เบื้องต้น พร้อมรับคำแนะนำจากแพทย์โดยตรงว่าเวลานี้เหมาะกับการตั้งครรภ์ หรือควรเริ่มต้นการฝากไข่ไว้ก่อนดี

 

โอกาสในการตั้งครรภ์โดยใช้สเปิร์ม ไข่ หรือ ตัวอ่อนที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างไร?


โอกาสในการตั้งครรภ์จากการใช้สเปิร์ม ไข่ หรือ ตัวอ่อนที่เก็บรักษาไว้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซลล์และช่วงอายุในขณะทำการเก็บรักษา ถ้าหากใช้สเปิร์มแช่แข็งอัตราการตั้งครรภ์จะใกล้เคียงกับสเปิร์มสด ไม่ว่าจะทำ IUI หรือ IVF ส่วนตัวอ่อนแช่แข็งก็ให้ผลลัพธ์คล้ายกับตัวอ่อนสด โดยกว่า 95% ส่วนใหญ่จะรอดจากการแช่แข็งและละลาย อย่างไรก็ตาม การฝากไข่มีโอกาสที่ไข่บางฟองจะไม่รอดจากกระบวนการมากกว่าตัวอ่อน ซึ่งอัตราการอยู่รอดอาจแตกต่างกันตั้งแต่ 50% ถึงมากกว่า 90% แล้วแต่บุคคล

หากไข่สามารถรอดจากการแช่แข็งได้ ส่วนใหญ่จะสามารถพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้ตามปกติ แม้บางฟองอาจมีพัฒนาการไม่สมบูรณ์ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อโอกาสตั้งครรภ์คืออายุของผู้หญิงในช่วงที่ตัดสินใจทำวิธีฝากไข่ รวมถึงจำนวนไข่หรือตัวอ่อนที่มีอยู่ สำหรับผู้ที่สนใจทำ ฝากไข่ หลายรอบ Beyond IVF ยังมีส่วนลดค่าบริการในรอบถัดไป เพื่อช่วยวางแผนอนาคตให้มั่นใจยิ่งขึ้น

 

การฝากไข่มีความเสี่ยงแค่ไหน?


การฝากไข่ ถือเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ภาวะรังไข่ตอบสนองเกิน (Ovarian Hyperstimulation Syndrome) หรืออาการไม่รุนแรงอย่างปวดท้องหน่วง คลื่นไส้ หรืออารมณ์แปรปรวนจากฮอร์โมน หากมีการดูแลตัวเองตามคำแนะนำแพทย์ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ 

 

การฝากไข่ราคาเท่าไหร่?


ค่าใช้จ่ายในการฝากไข่อาจแตกต่างกันตามแพ็กเกจและแพทย์ผู้ดูแล โดยที่ Beyond IVF มี โปรโมชั่นฝากไข่ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ แพ็กเกจของอาจารย์ต้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท ครอบคลุมทั้งค่ายา แช่แข็งไข่ 1 ปี และหัตถการทั้งหมด พร้อมผ่อน 0% ได้ 10 เดือน เดือนละ 10,000 บาท ส่วนแพ็กเกจของคุณหมอกิตติ ราคาเริ่มต้นประมาณ 79,000 บาท ผ่อนเดือนละ 7,900 บาท โดยทั้งสองแพ็กเกจไม่จำกัดจำนวนไข่ และไม่รวมค่าตรวจร่างกายก่อนเริ่มต้นการรักษา สำหรับผู้ที่สนใจราคาฝากไข่ที่คุ้มค่าและต้องการดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถใช้สิทธิ์โปรโมชั่นฝากไข่ ได้เมื่อเข้ารับคำปรึกษาในช่วงโปรโมชั่นที่กำหนด

ฝากไข่ที่ Beyond IVF เรายินดีให้คำปรึกษา เพื่อช่วยคุณสำรวจทุกความเป็นไปได้

ฝากไข่ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาเซลล์ไข่เท่านั้น แต่ยังเป็นการวางแผนเพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัวในวันที่พร้อมมีบุตรที่สุด อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วว่าฝากไข่คืออะไร รวมถึงรายละเอียดของขั้นตอนการฝากไข่ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสการมีบุตรในอนาคตและสร้างครอบครัวในแบบที่คุณตั้งใจไว้

Ready to start your fertility journey?

Book a free 15 minute phone consultation with one of our expert fertility nurses.

Book now

The Biological Clock

This tool indicates:

  • Natural conception per month if you have no fertility issues
  • IVF success rate at the same age
  • When to seek help after months of unsuccessful attempts

If you are concerned at any stage – we recommend booking a doctor appointment or a free nurse consultation. The sooner you make a plan the better your chances in the long term.

When to seek advice early

  • If you have polycystic ovaries, endometriosis, or have been through a cancer diagnosis; we recommend you get in touch quickly so we can talk you through all your options and give you the greatest possible chance of success.
  • If you’re a single woman considering motherhood in the future; it’s best to approach us early and consider egg freezing as this can be an option for you while you have a higher ovarian reserve and healthier eggs.
Set your age and the months you’ve been trying to conceive
26
2
Your chance of having a baby per month for fertile couples
Your chance of having a baby per IVF cycle (if experiencing infertility)

Body Mass Index calculator

Being overweight or underweight can reduce fertility, so it is important to keep your body weight within the normal healthy range.

Body Mass Index (BMI) is an indication of your body weight and can be calculated by dividing weight by height. You should aim for a BMI of between 20 and 25, as this will optimise your chances of conception.

Woman’s BMI below 19

Even in these modern times, nature knows best. If a woman's BMI falls below 19, the body senses famine and ovulation is switched off to prevent the risk of having a baby with malnutrition. Excessive exercise can reduce body fat and increase muscle mass to a point where periods cease for the same reason. Risk of miscarriage is also increased in women with a low BMI.

Being underweight

If a woman's BMI falls below 19, the body senses famine and ovulation is switched off to prevent the risk of having a baby with malnutrition. Excessive exercise can reduce body fat and increase muscle mass to a point where periods cease for the same reason. Risk of miscarriage is also increased in women with a low BMI.

BMI’s greater than 30

This can reduce fertility by 50%. Pregnancy for women with a 30+ BMI is often associated with problems such as maternal diabetes, high blood pressure, big babies and increased risk of caesarean section.

Add your height and weight to calculate your BMI