Skip to content

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง เพื่ออะไร ต้องตรวจอะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่?


31 มีนาคม 2025
บทความ

ฮอร์โมนเพศหญิง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งฮอร์โมนในร่างกายสามารถบางบอกได้ว่าในตอนนี้คุณผู้หญิงกำลังมีภาวะอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมีบุตรยาก เป็นซีสต์ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ล้วนแล้วมาจากฮอร์โมนทั้งสิ้น หลายๆคนอาจไม่ทราบว่าหากต้องตรวจฮอร์โมนต้องตรวจอะไรบ้าง ฮอร์โมนแต่ละตัวบ่งบอกถึงอะไร และค่าใช้จ่ายในการตรวจเท่าไหร่


การตรวจฮอร์โมนเพศหญิง

การตรวจฮอร์โมนเพศหญิง คือ การเจาะเลือดเพื่อตรวจความผิดปกติของระบบฮอร์ภายในร่างกายของเพศหญิง โดยช่วงเวลาการตรวจขึ้นอยู่กับฮอร์โมนในแต่ละตัวเช่นบางฮอร์โมนควรตรวจตอนมีประจำเดือน บางฮอร์โมนควรตรวจตอนไม่มีประจำเดือนหรือบางฮอร์โมนสามารถตรวจได้ตลอดเวลา ซึ่งการพิจารณาตรวจฮอร์โมนควรเป็นไปตามแพทย์แนะนำเพื่อชี้วัความผิดปกติของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้

ทำไมต้องตรวจฮอร์โมนเพศหญิง

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง เป็นการตรวจสมดุลและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแต่ละตัว เพื่อประเมินความผิดปกติของอาการที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นก่อนการเกิดโรค ทั้งระบบเผาผลาญ การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การควบคุมอารมณ์ ความเครียด ความรู้สึกทางเพศ และการเจริญพันธุ์ เพื่อหาแนวทางการปรับให้ฮอร์โมนกลับมาสมดุลอีกครั้ง

หากฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุลจะส่งผลอย่างไร

ในวัยเจริญพันธุ์หากฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) เช่น

  • ประจำเดือนขาด
  • สิวขึ้น
  • ท้องอืด
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ซึมเศร้าง่าย
  • ภาวะมีบุตรยาก

สำหรับหญิงวัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงจะต่ำลงมาก ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ความจำแย่ อารมณ์ฉุนเฉียว กระดูกบาง ผิวเหี่ยว

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง ต้องตรวจอะไรบ้าง

สำหรับคำถามที่ว่า ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง จำเป็นต้องตรวจฮอร์โมนตัวใดบ้าง เนื่องจากฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับเพศหญิงนั้นมีหลากหลาย ฮอร์โมนที่จำเป็นต้องตรวจจึงได้แก่

  • ตรวจระดับฮอร์โมน Estradiol (E2) เป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ร่างกายเราสามารถผลิตได้เอง อยู่ในกลุ่มเดียวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • ตรวจระดับฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) ฮอร์โมนนี้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ที่จะกระตุ้นออกมาช่วงตกไข่ ถ้าใครไม่มีฮอร์โมนตัวนี้ก็จะไม่สามารถมีลูกได้ แต่ถ้ามีค่า LH สูงก็อาจจะเป็นซีสต์ในรังไข่ได้
  • ตรวจระดับฮอร์โมน Progesterone ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงอีกตัวที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือนและการตั้งครรภ์
  • ตรวจระดับฮอร์โมน Follicle Stimulating Hormone (FSH) เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ไข่สุก ถ้าไม่มีตัวนี้ก็จะทำให้เป็นหมันได้
  • Sex Hormone Binding Globulin เป็นการตรวจสำหรับประเมินภาวะแอนโดรเจนผิดปกติ ฮอร์โมนแอนโดรเจนคือฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งหากผู้หญิงมีฮอร์โมนตัวนี้เยอะก็จะทำให้เป็นเนื้องอก หรือมีหนวด มีเคราเหมือนผู้ชาย
  • ตรวจระดับฮอร์โมน DHEA – Sulphate เป็นการตรวจปริมาณสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ
  • ตรวจระดับฮอร์โมน IGF1 (Insulin-like โกรทฮอร์โมน Factor) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ โกรทฮอร์โมน เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึม การเจริญเติบโต และการฟื้นฟูของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
  • ตรวจ IGFBP3 เพื่อดูว่า มีภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth hormone deficiency) หรือภาวะที่มีฮอร์โมนการเจริญเติบโตมากผิดปกติ ( Acromegaly)
  • ตรวจการทำงานของไทรอยด์ มักดูระดับฮอร์โมนสำคัญ 3 ตัว ได้แก่
    • ระดับฮอร์โมน TSH (Thyroid Stimulating Hormone) เป็นฮอร์โมนที่มีความไวสูงที่สุดในการประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์
    • T3 (Triiodothyronine Free) สร้างจากต่อมไทรอยด์ โดยปกติจะผลิตออกมาน้อยกว่า T4 แต่จะแอคทีฟน้อยกว่า T4 ถึง 10 เท่า
    • T4 (Thyroxine Free) สร้างจากต่อมไทรอยด์


ใครที่ควรตรวจฮอร์โมนเพศหญิง

ใครที่ควรตรวจฮอร์โมนเพศหญิงบ้าง

  • คนที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • คนที่อยากมีลูกหรือเตรียมตั้งครรภ์
  • คนที่มีอารมณ์แปรปรวน
  • มีปัญหาสุขภาพหรือภาวะร่างกายผิกปกติ เช่น อ่อนเพลียง่าย อ้วนง่าย

อาการสัญญาณเตือนฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล

สำหรับอาการที่ส่งสัญญาณเตือนฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล ควรเข้ารับการตรวจฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่

1. ประจำเดือนผิดปกติ

ปกติแล้วผู้หญิงจะมีประจำเดือนทุกๆ 28 วัน แต่หากรอบเดือนมาบ่อยเกินไป หรือประจำเดือนขาด หมายความว่าเรามีฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen) ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง รวมไปถึงฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่เป็นตัวควบคุมการมาของประจำเดือนมากหรือน้อยเกินไป

2. นอนไม่หลับหรือหลับยาก

นอกจากฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่มีส่วนช่วยให้นอนหลับได้สบายขึ้นแล้ว ยังมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ผลิตออกมาจากรังไข่ของผู้หญิง ที่ช่วยให้ผู้หญิงนอนหลับได้สบายมากขึ้น แต่หากฮอร์โมนหนึ่งในสองชนิดนี้มีปริมาณต่ำกว่าปกติ ก็จะส่งผลต่อการนอนหลับได้เช่นกัน รวมไปถึงฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen)ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ถ้ามีฮอร์โมนชนิดนี้ต่ำกว่าปกติ ก็อาจทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกร้อนวูบวาบ หนาวๆ ร้อนๆ หรือมีเหงื่อออกตอนกลางคืน ทำให้รบกวนการนอนหลับได้เหมือนกัน

3. สิวขึ้นมากผิดปกติ

สิวฮอร์โมนที่ขึ้นเป็นเม็ดๆ บนใบหน้าก่อนมีประจำเดือนถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีสิวขึ้นเป็นประจำไม่หายขาด อาจมีปัญหาที่ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ที่หากมีปัญหาจะส่งผลให้ต่อมไร้ท่อ และต่อมไขมันที่เซลล์ของผิวหนัง และรูขุมขนทำงานผิดปกติ จึงทำให้เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิวได้

4. มีอาการหลงลืมบ่อยๆ

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าหากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) มีความผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่อการควบคุมในสมอง และสารด้านสื่อประสาท ซึ่งมีผลต่อสมาธิ และความจำด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้หมดประจำเดือน จะมีอาการหลายอย่างที่เชื่อมโยงกับระดับฮอร์โมนและต่อมไทรอยด์ ทำให้การทำงานของสมองอาจไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่เหมือนช่วงเวลาอื่น

5. อาการปวดท้อง

ไม่ใช่อาการปวดท้องทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน แต่เป็นอาการปวดท้องบริเวณท้องน้อยที่เกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน อาการปวดประจำเดือนในผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกัน และไม่ถือว่ามีความผิดปกติมากนักหากเป็นอาการปวดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่หากปวดประจำเดือนมากๆ จนทนไม่ไหว ปวดท้องจนหน้าซีด และในบางครั้งยาแก้ปวดประจำเดือนก็เอาไม่อยู่ แบบนี้อาจส่งผลมาจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ผิดปกติ

6. เมื่อยล้า อ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา

เมื่อฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์มีจำนวนน้อยลง อาจส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้า และพลังงานลดลง โดยอาจมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่มาจากการทำงานของท่อมไทรอยด์ หรืออาจจะเป็นความผิดปกติของต่อมไทรอยด์

7. เครียด อารมณ์แปรปรวน

หากใครเคยได้ยินคำว่า ฮอร์โมนแปรปรวน หรือ Hormone Swing คงเข้าใจว่ามีอาการเป็นอย่างไร นอกจากอารมณ์หงุดหงิดโมโหง่ายแล้ว ฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen)ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งผลต่อสมองและอารมณ์อีกด้วย

8. น้ำหนักเพิ่มขึ้น

หากบอกว่าอ้วนขึ้นเพราะฮอร์โมนผิดปกติก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) น้อยลง เราก็จะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น ต่อมความหิวก็เริ่มทำงานมากขึ้น จึงทำให้ผู้หญิงหลายคนอยากทานอาหารจุกจิกจนน้ำหนักเพิ่มขึ้นนั่นเอง

9. ปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ต่ำ ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน หากลองสังเกตตัวเองแล้วพบว่ามีอาการปวดศีรษะก่อนมีประจำเดือนในทุกเดือน อาจเป็นเพราะความผิดปกติของฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen)ได้

10. ช่องคลอดแห้ง

โดยปกติแล้วหากคุณผู้หญิงมีช่องคลอดแห้ง ไม่มีน้ำหล่อลื่นระหว่างมีเพศสัมพันธ์บ้างเป็นบางครั้งยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) มีปริมาณต่ำ ทำให้ช่องคลอดขาดความสมดุลในการทำงานตามไปด้วยนั่นเอง

11. ความต้องการทางเพศลดลง

ฮอร์โมนที่ควบคุมเรื่องความต้องการทางเพศหญิงคือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน(Testosterone) หากระดับของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) น้อยเกินไป อาจส่งผลให้มีความต้องการทางเพศลดลงได้

12. หน้าอกเปลี่ยนแปลง

ผู้หญิงหลายคนอาจเคยสังเกตว่าช่วงมีประจำเดือนขนาดของหน้าอกจะใหญ่ขึ้น เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนเพศหญิงอื่นๆ ดังนั้นหากผู้หญิงคนไหนที่รู้สึกว่าขนาดหน้าอกเล็กลง อาจจะเกิดจากฮอร์โมนเพศหญิงลดต่ำลงได้


การเตรียมตัวก่อนตรวจฮอร์โมนเพศหญิง

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจฮอร์โมนเพศหญิง มีดังนี้
  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง
  • การตรวจสุขภาพไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในช่วง 7 วันก่อนและหลังมีประจำเดือน
  • ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม 8-12 ชั่วโมงก่อนตรวจ (สามารถดื่มน้ำเปล่าได้)
  • หากมีผลการตรวจสุขภาพครั้งล่าสุด กรุณานำผลการตรวจหรือรายงานจากแพทย์มาด้วย
  • หากท่านมีโรคประจำตัวหรือประวัติสุขภาพอื่นๆ กรุณานำผลการตรวจหรือรายงานจากแพทย์มาด้วยเพื่อประกอบการวินิจฉัย

ขั้นตอนการตรวจฮอร์โมนเพศหญิง

โดยขั้นตอนการตรวจฮอร์โมนเพศหญิงนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก มีขั้นตอนดังนี้

  1. พยาบาลจะซักประวัติของคุณผู้หญิงเบื่องต้นก่อน
  2. พยาบาลจะพาไปชั่งน้ำหนัก วัดความดัน เสร็จแล้วพยาบาลจะพาไปพบแพทย์
  3. พบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติ เช่น โรคประจำตัว ยาปฏิชีวนะที่ใช้
  4. เจาะเลือด และนำไปตรวจฮอร์โมน เพื่อหาความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น
  5. รอผลตรวจ ประมาณ 2 ชั่วโมง

แนะนำวิธีรักษาสมดุลของฮอร์โมน

หากคุณหมอวินิจฉัยว่า คุณมีปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุล สามารถรักษาได้ทั้งการรักษาทางการแพทย์และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตัวเอง

การรักษาทางการแพทย์

  • การใช้ฮอร์โมนทดแทน ซึ่งนิยมใช้ในหญิงวัยหมดประจำเดือน
  • ปรับสมดุลของเอสโตรเจนในช่องคลอด ด้วยการใช้ยาที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจน ทั้งแบบครีมสำหรับทา แบบเม็ดสอดช่องคลอด แบบแผ่นแปะผิวหนัง แบบกิน เป็นต้น
  • ใช้การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด วงแหวนสอดช่องคลอดคุมกำเนิด เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และทำให้ประจำเดือนเป็นปกติ ทั้งยังอาจช่วยลดสิวและลดขนที่ดกเกินไปได้ด้วย
  • ใช้ยาต้านแอนโดรเจน สำหรับผู้หญิงที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนมากเกินไป คุณหมออาจให้คุณใช้ยาต้านฤทธิ์แอนโดรเจน ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาผมร่วง ขนดกดำเกินไป หรือปัญหาสิวดีขึ้นได้

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิงราคาเท่าไหร่

ค่าใช้จ่ายในการตรวจฮอร์โมนเพศหญิงที่ Beyond IVF จะอยู่ที่ 7,000 บาท โดยประมาณ ซึ่งราคานี้จะตรวจฮอร์โมนเพศหญิงได้ทุกตัว เช่น

  • ฮอร์โมน Estradiol (E2)
  • ฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH)
  • ฮอร์โมน Progesterone
  • ฮอร์โมน Follicle Stimulating Hormone (FSH)
  • Sex Hormone Binding Globulin
  • ฮอร์โมน DHEA – Sulphate
  • ฮอร์โมน IGF1 (Insulin-like โกรทฮอร์โมน Factor)
  • ตรวจ IGFBP3
  • ฮอร์โมน TSH (Thyroid Stimulating Hormone)
  • T3 (Triiodothyronine Free)
  • T4 (Thyroxine Free)


เรื่องราวความสำเร็จอื่น ๆ

บทความ

มีลูกยาก คืออะไร? รักษาได้อย่างไร? หาคำตอบจากแพทย์ได้ที่นี่

Read the story
บทความ

ฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI) คืออะไร? เรื่องน่ารู้เพื่อเพิ่มโอกาสมีลูก

Read the story
บทความ

Infertility: Causes, Symptoms, Tests, and Treatments

Read the story
บทความ

เด็กหลอดแก้ว IVF คืออะไร? ต่างกับ อิ๊กซี่ ICSI ไหม ต้องรู้อะไรอีกบ้างก่อนทำ

Read the story

นาฬิกาสุขภาพ

เครื่องมือนี้ระบุ :

  • โอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติในแต่ละเดือน หากไม่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก
  • อัตราความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ในช่วงอายุเดียวกัน
  • ควรปรึกษาแพทย์เมื่อพยายามตั้งครรภ์ไม่สำเร็จเป็นระยะเวลากี่เดือน

หากคุณกังวลไม่ว่าขั้นตอนใดก็ตาม เราขอแนะนำให้ลงนัดแพทย์หรือขอคำปรึกษาจากพยาบาลฟรี ยิ่งคุณวางแผนได้เร็วเท่าไรโอกาสของคุณก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อไหร่ที่ควรขอคำแนะนำ

  • หากคุณมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS), เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เราขอแนะนำให้คุณติดต่อเราทันที เพื่อที่เราจะได้อธิบายทางเลือกทั้งหมดและช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จให้มากที่สุด
  • หากคุณเป็นผู้หญิงที่มีสถานะโสดและกำลังพิจารณาว่าอยากมีลูกในอนาคต ควรเข้ามาปรึกษาเราแต่เนิ่น ๆ และพิจารณาการฝากไข่ (Egg Freezing) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่คุณยังมีไข่จำนวนมาก และสุขภาพของไข่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
กำหนดอายุของคุณและระยะเวลาที่คุณพยายามตั้งครรภ์ (เป็นเดือน)
26
2
โอกาสในการมีบุตรต่อเดือนสำหรับคู่รักที่มีภาวะเจริญพันธุ์ปกติ
โอกาสในการมีบุตรต่อรอบการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หากมีภาวะมีบุตรยาก

เครื่องคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI)

การมีน้ำหนักเกินหรือต่ำกว่าเกณฑ์อาจจะลดความสามารถในการมีบุตรได้ ดังนั้น การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นตัวบ่งชี้น้ำหนักตัวของคุณและสามารถคำนวณได้โดยการหารน้ำหนักด้วยส่วนสูง คุณควรตั้งเป้าหมายไว้ที่ค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 20 ถึง 25 เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

ค่าดัชนีมวลกายของผู้หญิงต่ำกว่า 19

แม้ในยุคปัจจุบัน ธรรมชาติของร่างกายก็ยังรู้ดีที่สุด หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้หญิงต่ำกว่า 19 ร่างกายจะรับรู้ถึงภาวะขาดแคลนอาหารและจะหยุดการตกไข่เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้ทารกขาดสารอาหาร การออกกำลังกายมากเกินไปสามารถลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหักโหมมากเกินไปอาจทำให้ประจำเดือนหยุดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้นในผู้หญิงที่มี BMI ต่ำอีกด้วย

น้ำหนักน้อยเกินไป

หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้หญิงต่ำกว่า 19 ร่างกายจะรับรู้ถึงภาวะขาดแคลนอาหารและจะหยุดการตกไข่เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้ทารกขาดสารอาหาร การออกกำลังกายมากเกินไปสามารถลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหักโหมมากเกินไปอาจทำให้ประจำเดือนหยุดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้นในผู้หญิงที่มี BMI ต่ำอีกด้วย

ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30

สิ่งนี้สามารถลดความสามารถในการมีบุตรได้ถึง 50% การตั้งครรภ์ในผู้หญิงที่มี BMI สูงกว่า 30 มักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง ทารกตัวใหญ่ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการผ่าคลอด

เพิ่มส่วนสูงและน้ำหนักของคุณเพื่อคำนวณดัชนีมวลกายของคุณ